Health

  • ปวดคอตึง ปวดหัวไมเกรน รักษาได้อย่างไร
    ปวดคอตึง ปวดหัวไมเกรน รักษาได้อย่างไร

    อาการปวดศีรษะไมเกรนควรได้รับการวินิจฉัยแยกจากโรคปวดศีรษะที่มีสาเหตุร้ายแรง เช่น ภาวะสมองขาดเลือดหรือเลือดออก ออกไปก่อน แล้วจึงวางแผนการรักษา ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความถี่และความรุนแรงของอาการปวด

    สัญญาณอันตรายจากอาการปวดศีรษะ เช่น อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นทันทีทันใด หรืออาการปวดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต อาการปวดหัวไมเกรนที่เป็นมากขึ้น หรือมีลักษณะอาการปวดที่แตกต่างจากเดิมที่เคยเป็น ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทันที
    การวางแผนการรักษาออฟฟิศซินโดรม เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพสูงสุด จะช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

    โรคกล้ามเนื้อตึงตัว

    อาการปวดที่เกิดจากโรคทางระบบประสาท เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดต้นคอ ปวดหลัง หากทิ้งไว้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาจเกิดความทุพพลภาพภายหลังได้ อีกทั้งคนที่มีอาการปวดส่วนมากคิดว่าความเจ็บปวดบางอย่างไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำสำหรับผู้ที่มีอาการปวดคือ

    การได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการปวด ซึ่งบางครั้งอาจจะมีหลายปัจจัยส่งผลต่อเนื่องกัน เมื่อรู้สาเหตุของอาการแล้ว แพทย์ก็จะให้การรักษาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในปัจจุบันได้มีวิทยาการใหม่ซึ่งสามารถรักษาอาการปวดจากสาเหตุได้อย่างตรงจุด รวมถึงการรักษาเพื่อควบคุมอาการปวด โดยใช้การรักษาแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เห็นผลเร็ว และหายขาดได้อีกด้วย

    โรคปวดศีรษะชนิดไมเกรน

    สาเหตุของการปวดศีรษะไมเกรน เกิดจากการที่มีความผิดปกติของสารสื่อประสาทในเยื่อหุ้มสมองหลั่งออกมาผิดปกติ ส่งผลต่อหลอดเลือดที่อยู่บริเวณผิวสมองเกิดการอักเสบ หลอดเลือดแดงบริเวณผิวสมองหดตัว ทำให้เกิดอาการอื่นที่พบร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น เห็นภาพเบลอ เห็นแสง วิงเวียน คลื่นไส้ ชา อ่อนแรง ซึ่งเรียกกลุ่มอาการดังกล่าวนี้ว่า Aura และสารสื่อประสาทที่มีผลทำให้หลอดเลือดแดงในชั้นเยื่อหุ้มสมองคลายตัวส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะตุ๊บๆ อย่างรุนแรง โดยตัวกระตุ้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ได้แก่

    ตัวกระตุ้นจากผู้ป่วยเอง (Intrinsic precipitating factors)

    พันธุกรรม มีรายงานพบความสัมพันธ์มากถึง 50%
    เพศหญิงมีการปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเพศชายถึง 3 เท่า
    การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยช่วงก่อน/ระหว่าง/หลังมีประจำเดือนในวัยเจริญพันธุ์จะกระตุ้นให้ปวดศีรษะไมเกรนได้มากกว่า
    การอดนอน
    ความเครียด
    ตัวกระตุ้นจากภายนอก (Extrinsic precipitating factors)

    สภาวะแวดล้อม – อากาศร้อน/เย็นจัด ความกดอากาศสูง แสงแดด เสียงดัง กลิ่นเหม็น
    อาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต ชีส ผงชูรส ชา กาแฟ ไวน์
    การรับประทานยาคุมกำเนิดหรือการบำบัดแทนฮอร์โมน อาจทำให้อาการไมเกรนแย่ลง
    อาการของการปวดศีรษะไมเกรน

    ปวดศีรษะด้านเดียว/สองข้าง/หรือสลับด้านไปมา
    ลักษณะอาการปวดแบบตุ๊บๆ ปวดรุนแรง
    อาการปวดกินเวลานาน 4-72 ชั่วโมง
    มีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ คือ คลื่นไส้ อาเจียน
    มีอาการร่วมกับการปวดศีรษะชนิด Aura ซึ่งอาจนำมาก่อน เกิดร่วมกัน หรือหลังอาการปวดศีรษะได้ อาการที่พบได้แก่ ตาพร่า/เห็นแสงคล้ายแฟลช/จุดดำในตา อาการชาโดยเฉพาะรอบปากและมือ อาการอ่อนแรง อาการวิงเวียน
    อาการมักสัมพันธ์กับตัวกระตุ้นชัดเจน
    โดยอาการดังกล่าว ควรได้รับการวินิจฉัยแยกโรคปวดศีรษะที่มีสาเหตุร้ายแรงออกไปก่อน เช่น ภาวะสมองขาดเลือดหรือเลือดออก เป็นต้น เมื่อวินิจฉัยแยกสาเหตุที่ร้ายแรงออกไปแล้ว การวางแผนการรักษาขึ้นอยู่กับความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดที่ผู้ป่วยได้รับผลกระทบในการรักษา

    การรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน
    โดยการรักษาแบ่งเป็นสองขั้นตอนหลักๆ คือ

    การรักษาอาการปวดเฉียบพลัน ด้วยยาแก้ปวดชนิดรับประทานและชนิดฉีด
    การป้องกันอาการปวดศีรษะ ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดบ่อย มีอาการปวดแต่ละครั้งรุนแรง อาการปวดกินเวลายาวนานหรือมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ตามัว เวียนศีรษะ ชา อ่อนแรง โดยรักษาด้วยยาป้องกันอาการปวดซึ่งมีทั้งชนิดรับประทาน และยาฉีด
    อีกทั้งควรสังเกตปัจจัยกระตุ้นการปวดศีรษะและหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะ และการรักษาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นร่วมด้วยเช่น โรคกล้ามเนื้อตึงตัว และออฟฟิศซินโดรม

    ซินโดรม ปวดตึงกล้ามเนื้อคอ/บ่า/ไหล่/หลัง
    สาเหตุของการเกิดอาการปวดกลุ่มกล้ามเนื้อตึงตัว เกิดจากการใช้งานกลุ่มกล้ามเนื้อนั้นซ้ำๆ นานๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งค้างและอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้กาารหลั่งสารสื่อประสาทที่กระตุ้นความปวด (Nitric oxide synthase) ไปกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวดที่อยู่รอบๆ กล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวด หลังได้รับตัวกระตุ้น (Precipitating factors) และหากตัวกระตุ้นเหล่านี้คงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อตัวรับความเจ็บปวดในระบบประสาทส่วนกลาง (Central pain receptor) แปลผลรับรู้ความเจ็บปวดนั้นต่อเนื่อง เกิดเป็นอาการปวดเรื้อรังได้ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ได้แก่

    ภาวะร่างกายพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ แร่ธาตุบางตัว เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ขาดวิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี
    ภาวะกล้ามเนื้อมีความทนทานต่ำ
    ความเครียด ภาวะอดนอน
    อาการของการปวดจากกล้ามเนื้อตึงตัว หรือ ออฟฟิศซินโดรม
    ผู้ป่วยมักมีอาการปวด เกร็ง ตึงตัวในกล้ามเนื้อกลุ่มที่ใช้งานบ่อยๆ เช่น กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ขมับ หลัง เอว ขา ในผู้ป่วยบางรายอาจคลำได้ก้อนของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากการหดเกร็งค้างของกล้ามเนื้อ เรียกว่า Trigger point
    ลักษณะการปวดตื้อๆ หน่วงๆ สัมพันธ์กับการใช้งานกล้ามเนื้อนั้นๆ
    ระยะเวลาปวดขึ้นกับความรุนแรงของแต่ละรายมักไม่ค่อยพบอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง ชา ถ้าพบอาการร่วม ควรสงสัยโรคปวดศีรษะที่มีสาเหตุร้ายแรง
    การรักษาการปวดจากกล้ามเนื้อตึงตัว หรือ ออฟฟิศซินโดรม

    ผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับการประเมิน เพื่อให้การวินิจฉัยโรค สาเหตุที่เกิดร่วม
    การตรวจเพิ่มเติมในบางรายเพื่อการวินิจฉัยแยกโรค
    วางแผนการรักษากับแพทย์ที่ดูแล เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพสูงสุด และยังช่วยลดระยะเวลาในการรักษา อีกทั้งยังเพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละรายจากการรับการรักษาแต่ละชนิดอีกด้วย

    ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ dbesoftware.com

Economy

  • แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่
    แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่

    แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ คนเข้าร้านเพิ่มขึ้นแต่ยอดขายต่อบิลลดลง

    7-Eleven นับเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ชิดกับผู้คน ด้วยสาขาที่มากถึง 1.3 หมื่นสาขาทั่วประเทศ ทำให้ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่มักจะสะท้อนกับกำลังซื้อรวมถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยได้ ทั้งนี้จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า 7-Eleven มีการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ยอดผู้ใช้บริการต่อสาขาเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายต่อบิลปรับตัวลดลงเล็กน้อย

    โดยในรายงานงบการเงินไตรมาสที่ 3 ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 90,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6 % จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 76,612 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้าน สาขาเดิมเพิ่มขึ้น 22.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 82 บาท ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 928 คน

    ทั้งนี้ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากการยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจร้านสะดวกซื้อประกอบกับรายได้จากการขายสินค้าส่วนเพิ่มผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7-Eleven Delivery, All Online และ 24Shopping ซึ่งยังคงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภาวะปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนสูงกว่า 10% ของรายได้จากการขายสินค้ารวม ในไตรมาส 3 ปี 2565 สัดส่วนของรายได้จากการขาย 74.1% มาจากสินค้ากลุ่มอาหาร และ 25.9% มาจากสินค้าอุปโภค

    แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ คนเข้าร้านเพิ่มขึ้นแต่ยอดขายต่อบิลลดลง

    ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากการขายสินค้ากลุ่มอาหารเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของยอดขายในทุกกลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ไตรมาส 3 ปี 2565 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีกำไรขั้นต้นจำนวน 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.6% จากไตรมาสเดียวกัน ของปีก่อน

     

    โดยมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น 27.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่อัตราส่วน 27.4% สาเหตุหลักมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านสินค้าโดยยังคงเน้นเรื่องความต้องการและพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงให้ความสำคัญต่อการบริหารอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้า เพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าและสามารถสร้างยอดขายและกำไรส่วนเพิ่มต่อธุรกิจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว

    ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

    สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : dbesoftware.com